กล้องโทรทรรศน์
ดาวเทียม
ดาวเทียม (อังกฤษ: satellite) คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเป็นสิ่ง ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัยแรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของสิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อใช้ ทางการทหาร การสื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เช่นการสำรวจทางธรณีวิทยาสังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอื่นๆ รวมถึงการสังเกตวัตถุ และดวงดาว ดาราจักร ต่างๆ
การขนส่งดาวเทียม
ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปจากโลกโดยยานขนส่งอวกาศ และสามารถโคจรรอบโลกได้อาศัยหลักการโคจรตามแรงดึงดูดระหว่างมวล ซึ่ง ณ ระดับความสูงจากผิวโลกระดับหนึ่ง ดาวเทียมจะต้องมีความเร็วเพียงค่าหนึ่งเท่านั้นจึงสามารถจะโคจรรอบโลกอยู่ได้โดยไม่หลุดจากวงโคจร โดยความเร็วดังกล่าวจะอยู่ในช่วง 7.6-11.2 กิโลเมตรต่อวินาที (รูปแบบการโคจรแบบวงกลมจนกระทั่งถึงรูปแบบการโคจรแบบพาราโบลา) ดังรูปที่ 1 ความเร็วดังกล่าวนี้ถูกควบคุมตั้งแต่เริ่มต้นปล่อยดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรเพื่อให้เส้นทางการโคจรของดาวเทียมไม่ซ้อนทับกันกับดาวเทียมดวงอื่นๆ ดังนั้นแม้จะมีดาวเทียมอยู่มากมายแต่ดาวเทียมเหล่านี้จะไม่โคจรชนกันเลย เนื่องจากดาวเทียมแต่ละดวงจะมีสมบัติการเคลื่อนที่เฉพาะตัว
นอกจากนั้นยังสามารถแบ่งประเภทของดาวเทียมตามความสูงในการโคจรเทียบกับพื้นโลกได้ดังนี้คือ
1. สูงจากพื้นโลกประมาณ 41,157 กิโลเมตร เป็นดาวเทียมที่โคจรหยุดนิ่งกับที่เทียบกับพื้นโลก(Geostationary Satellites) จะลอยอยู่หยุดนิ่งค้างฟ้าเมื่อเทียบกับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบนโลก โดยส่วนมากจะเป็นดาวเทียมประเภทดาวเทียมสื่อสาร ตัวอย่างเช่นดาวเทียมไทยคม ดาวเทียมเหล่านี้อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรโลกประมาณ จะวางตัวอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรโลก และสูงจากพื้นโลกประมาณ 41,157 กิโลเมตร หรือประมาณ 1/10 เท่าของระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์ มีคาบการโคจรประมาณ 24 ชั่วโมง
2. สูงจากพื้นโลกประมาณ 9,700-19,400 กิโลเมตร เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก(Asynchronous Satellite) ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นดาวเทียมนำทางแบบจีพีเอส (GPS: Global Positioning System) ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในระบบการติดตาม บอกตำแหน่ง หรือนำร่องบนโลก ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน เรือเดินสมุทร รถยนต์ ระบบดาวเทียมจีพีเอสจะประกอบด้วยดาวเทียม 24 ดวง ใน 6 วงโคจร ที่มีวงโคจรเอียงทำมุม 55 องศาในลักษณะสานกันคล้ายลูกตระกร้อ มีคาบการโคจรประมาณ 12 ชั่วโมง
3. สูงจากพื้นโลกประมาณ 4,800-9,700 กิโลเมตร เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก (Asynchronous Satellite) ซึ่งเป็นระดับที่ถูกแบ่งวงโคจรไว้สำหรับดาวเทียมสำหรับการสำรวจ และสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น การวิจัยเกี่ยวกับพืช-สัตว์ การติดตามร่องรอยของสัตว์ป่า เป็นต้น ดาวเทียมที่ระดับดังกล่าวมีคาบการโคจรประมาณ 100 นาที
4. สูงจากพื้นโลกประมาณ 130-1940 กิโลเมตร เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก (Asynchronous Satellite) โดยส่วนมากจะเป็นดาวเทียมที่ใช้ในการสำรวจทรัพยากรบนโลกรวมไปถึงดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา
ประโยชน์ของดาวเทียมแต่ละประเภท
1. ดาวเทียมสื่อสาร
ใช้เพื่อการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งจะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารของโลกเข้าด้วยกัน เช่นการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ทั้งในประเทศและข้ามทวีป การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น อายุการใช้งานของดาวเทียมชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10-15 ปี เมื่อส่งดาวเทียมสื่อสารขึ้นไปโคจรดาวเทียมจะพร้อมทำงานโดยทันที ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังสถานีภาคพื้นดิน และที่สถานีภาคพื้นดินจะมีอุปกรณ์รับสัญญาณที่เรียกว่า ทรานสปอนเดอร์ (Transponder) เพื่อทำหน้าที่รับสัญญาณแล้วกระจายไปยังสถานีต่างๆ บนพื้นผิวโลก ดาวเทียมสื่อสารจะทำงานโดยอาศัยหลักการส่งสัญญาณ ถึงกันระหว่างสถานีภาคพื้นดินและสถานีอวกาศ ซึ่งวิถีการโคจรของดาวเทียมชนิดนี้เป็นวงโคจรค้างฟ้า ดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ในประเทศไทยก็คือ ดาวเทียมไทยคม 1-5 ดาวเทียมไทยคมจะมีรัศมีการให้บริการครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง
2.ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
ใช้เพื่อศึกษาลักษณะทางภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นธรณีวิทยา อุทกวิทยา การสำรวจพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่ทางการเกษตรการใช้ที่ดิน และน้ำ เป็นต้น ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของโลกคือดาวเทียม Landset ถูกส่งขึ้นไปสู่วงโคจรเมื่อ พ.ศ. 2515 ดาวเทียมชนิดนี้จะออกแบบให้มีความสามารถในการถ่ายภาพจากดาวเทียมและการติดต่อสื่อสารในระยะไกลซึ่งเรียกว่า การสำรวจจากระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อที่จะสามารถแยกแยะจำแนก และวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้ถูกต้อง สำหรับประเทศไทยนั้นกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้ลงนามร่วมมือกับบริษัท Astrium S.A.S.ประเทศฝรั่งเศส เพื่อสร้างดาวเทียมสำรวจทรัพยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 ในชื่อโครงการธีออส
3. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา
ใช้เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ เช่น ข่าวสารพายุ อุณหภูมิ และสภาพทางภูมิอากาศต่างๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้วิเคราะห์สำหรับประกาศเตือนภัยพิบัติต่างๆ ให้ทราบ ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยานี้ จะให้ข้อมูลด้วยภาพถ่ายเรดาร์ และภาพถ่ายอินฟราเรดสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาดวงแรกของโลกคือ ดาวเทียม Essa 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2509 ดาวเทียมชนิดนี้ได้แก่ดาวเทียม GMS-5 และดาวเทียม GOES-10 เป็นของประเทศญี่ปุ่น ส่วนดาวเทียม NOAA เป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา และดาวเทียม FY-2 ของประเทศจีน
4. ดาวเทียมบอกตำแหน่ง
ใช้เพื่อเป็นระบบนำร่องให้กับเรือและเครื่องบิน ตลอดจนใช้บอกตำแหน่งของวัตถุต่างๆ บนพื้นผิวโลก ซึ่งระบบหาตำแหน่งโดยใช้ดาวเทียมนี้จะเรียกว่าระบบ GPS (Global Positioning Satellite System) ซึ่งดาวเทียมบอกตำแหน่งนี้แรกเริ่มเดิมทีนั้นจะนำมาใช้ในการทหารปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อใช้สำหรับนำร่องให้กับเครื่องบินและเรือเดินสมุทร วิถีโคจรของดาวเทียมชนิดนี้จะโคจรแบบสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (SunSynchronous) ดาวเทียมชนิดนี้ได้แก่ กลุ่มดาวเทียมบอกตำแหน่ง Navstar
5. ดาวเทียมสมุทรศาสตร์
ใช้เพื่อสำรวจทางทะเลทำให้นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลและนักชีววิทยาทางทะเลสามารถวิเคราะห์และตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆ ในท้องทะเลได้ ไม่ว่าจะเป็นความแปรปรวนของคลื่นลม กระแสน้ำ แหล่งปะการัง สภาพแวดล้อม และลักษณะของสิ่งมีชีวิตทางทะเล เป็นต้น ดาวเทียมสมุทรศาสตร์ดวงแรกของโลกได้แก่ ดาวเทียม Seasat และได้มีการพัฒนาสร้างดาวเทียมทางสมุทรศาสตร์อีกหลายดวง เช่น ดาวเทียมRobinson 34,ดาวเทียม Mos 1 เป็นต้น
6. ดาวเทียมสำรวจอวกาศ
ใช้เพื่อสำรวจอวกาศเพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อมต่างๆ ในอวกาศไม่ว่าจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สิ่งมีชีวิต และสภาวะต่าง ๆเป็นต้น ดาวเทียมสำรวจอวกาศจะถูกนำขึ้นไปสู่วงโคจรที่สูงกว่าดาวเทียมประเภทอื่นๆ ทำให้ไม่มีชั้นบรรยากาศโลกกั้นขวาง ดาวเทียมชนิดนี้ได้แก่ ดาวเทียมMars Probe และดาวเทียม Moon Probe
7. ดาวเทียมจารกรรม
ใช้เพื่อการสอดแนมและค้นหา เป็นดาวเทียมที่นิยมใช้ในกิจการทางทหาร ทั้งนี้เพราะสามารถสืบหาตำแหน่งและรายละเอียดเฉพาะที่ต้องการได้ทั้งในที่มืดและที่สว่าง ตรวจหาคลื่นวิทยุ สอดแนมทางการทหารของประเทศคู่แข่ง ตลอดจนสามารถสร้างดาวเทียมได้ตามความต้องการใน
ด้านกิจการทหาร ดาวเทียมชนิดนี้ได้แก่ ดาวเทียม DS3, ดาวเทียม COSMOS ของสหภาพรัสเซีย ดาวเทียม Big Bird,ดาวเทียม COSMOS 389 Elint ของสหรัฐอเมริกา
สถานีอวกาศ
สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) หรือ ISS เป็นห้องปฏิบัติการลอยฟ้าซึ่งโคจรรอบโลกที่ระยะสูง 410 กิโลเมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 27,744 กิโลเมตร/ชั่วโมง โคจรรอบโลก 1 รอบใช้เวลา 92 นาที สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือจาก 16 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยียม เนเธอร์แลน์ สเปน อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และบราซิล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการค้นคว้าและทดลองทางวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาได้แก่ ดาราศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา วัสดุศาสตร์ ชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์ เนื่องจากสถานีอวกาศอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถทำการทดลองหรือประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งไม่สามารถกระทำบนพื้นผิวโลกได้ ดังนั้นสถานีอวกาศนานาชาติจึงมีความสำคัญต่ออนาคตของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก
ระบบยานขนส่งอวกาศ
ระบบการขนส่งอวกาศเป็นโครงการที่ถูกออกแบบให้สามารถนำชิ้นส่วนบางส่วนที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกเพื่อเป็นการประหยัดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ จรวดเชื้อเพลิงแข็ง ถังเชื้อเพลิงภายนอก (สำรองไฮโดรเจนเหลวและออกซิเจนเหลว) และยานอวกาศ
ส่วนประกอบของระบบขนส่งอวกาศ ยานอวกาศ
ระบบขนส่งอวกาศมีน้ำหนักรวมเมื่อขึ้นจากฐานปล่อยประมาณ 2,041,200 กิโลกรัม โดยจรวดเชื้อเพลิงแข็งจะถูกขับเคลื่อนจากฐานปล่อยให้นำพาทั้งระบบขึ้นสู่อวกาศด้วยความเร็วที่มากกว่าค่าความเร็วหลุดพ้น เมื่อถึงระดับหนึ่งจรวดเชื้อเพลิงแข็งทั้งสองข้างจะแยกตัวออกมาจากระบบ จากนั้นถังเชื้อเพลิงภายนอกจะแยกตัวออกจากยานอวกาศ โดยตัวยานอวกาศจะเข้าสู่วงโคจรเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป ดังรูป
ระบบขนส่งอวกาศ
การปฏิบัติภารกิจสำหรับระบบขนส่งอวกาศมีหลากหลายหน้าที่ ตั้งแต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ (ในสภาวะไร้น้ำหนัก) การส่งดาวเทียม การประกอบกล้องโทรทรรศน์อวกาศ การส่งมนุษย์ไปบนสถานีอวกาศ ฯลฯ ยานอวกาศจึงถูกออกแบบสำหรับบรรทุกคนได้ประมาณ 7-10 คน ปฏิบัติภารกิจได้นานตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงหรืออาจใช้เวลาถึง 1 เดือน สำหรับโครงการขนส่งอวกาศขององค์การนาซามีอยู่ด้วยกัน 6 โครงการ คือ
1. โครงการเอนเตอร์ไพรส์
2. โครงการโคลัมเบีย
3. โครงการดิสคัฟเวอรี
4. โครงการแอตแลนติส
5. โครงการแชลแลนเจอร์
6. โครงการเอนเดฟเวอร์
การออกสู่อวกาศ
สัตว์ที่ออกสู่อวกาศ
กว่าที่มนุษย์คนแรกจะได้ย่างกรายออกสู่อวกาศ “สัตว์” สารพัดชนิด ต่างกลายเป็นหน่วยหน้าถูกส่งไปทดลองผลกระทบของการใช้ชีวิตอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก และอาการต้านทานต่อการขึ้นลงผ่านชั้นบรรยากาศ ที่นอกเหนือจากการทดลองในห้องแล็บหนือสถานการณ์จำลอง
นอกเหนือจากหนูแล้ว ลิงวอก, ชิมแปนซี และสุนัข เป็นสิ่งมีชีวิตยอดนิยมในการหยั่งทดสอบชีวิตบนอวกาศ สหรัฐอเมริกาเริ่มทดลองเทคโนโลยีอวกาศกับสัตว์ตั้งแต่ปี 2491 โดยในเดือน มิ.ย. ได้เริ่มโครงการ “อัลเบิร์ต” ส่งสิ่งมีชีวิตติดไปในส่วนปลายของจรวด เพื่อทดสอบปฏิกิริยาขณะจรวดขึ้นลงแตะขอบอวกาศ โดยอัลเบิร์ตที่ 1 ถึง 5 ถูกทยอยส่งขึ้นสู่อวกาศในระยะเวลา 2 ปี อัลเบิร์ตที่ 1 และ 2 เป็นลิงวอก ทั้งคู่ตายระหว่างเดินทาง ส่วนลิงในอัลเบิร์ตที่ 4 รอดชีวิตกลับมาแต่ตกกระแทกพื้นโลกในขากลับ ขณะที่อัลเบิร์ตที่ 3 และ 5 ใช้ “หนูทดลอง” แทนโดยมีกล้องบันทึกภาพไว้ขณะบิน
20 ก.ย.2494 ลิง “ยอริก” และหนูอีก 11 ตัวมีชีวิตรอดกลับมา หลังจากติดไปกับจรวดมิสไซล์แอโรบี ที่ความสูง 72 ก.ม. “ยอริก” กลายเป็นลิงตัวแรกที่มีชีวิตรอดระหว่างการเดินทางสู่อวกาศ
จากนั้น 22 พ.ค.2495 แพทริเซีย และไมค์ 2 ลิงฟิลิปปินส์ ก็ถูกส่งขึ้นไปบ้าง ซึ่งการทดลองครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์มองเห็นผลของการเพิ่มและลดอัตราเร่ง รวมทั้งสภาพไร้น้ำหนักจากกล้องที่ติดไว้ สัตว์ทั้ง 2 ตัวกลับมาอย่างปลอดภัย
ขณะเดียวกันทางฝั่งสหภาพโซเวียตก็สอดแนมการทดลองของสหรัฐฯ พร้อมทั้งส่งหนูแรท, หนูเมาส์ และกระต่ายทดลองเดินทางสู่อวกาศแบบตั๋วเที่ยวเดียว ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างห้องโดยสารให้เหมาะกับการเดินทางของมนุษย์
โซเวียตเลือกสุนัขตัวเล็กๆ แทนลิง เพราะเชื่อว่าสุนัขน่าจะอดทนได้มากกว่าลิง ระหว่างปี 2494-2495 สุนัข 9 ตัวได้ร่วมเดินทางไปในจรวดลำเดียว จนแตะขอบอวกาศและกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เดือน ส.ค.2494 “เดซิก” และ “ทซีกัน” กลายเป็นสุนัข 2 ตัวแรกที่ได้บินไปแตะวงโคจรต่ำ และสุนัขในกลุ่ม 9 ตัวก็ยังวนเวียนขึ้นลงแตะขอบอวกาศกันอีกหลายเที่ยว
กระทั่ง 3 พ.ย. 2500 “ไลก้า” ก็ได้เป็นที่รู้จักต่อชาวโลกในฐานะ “สิ่งมีชีวิต” ตัวแรกที่โคจรรอบโลก แต่สัญญาณชีพไลก้าก็หมดลงเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังทะยานออกจากชั้นบรรยากาศโลก
หลังจากให้โซเวียตแซงหน้าไปหลายช่วงตัว สหรัฐฯ หันกลับมาทดลองอีกครั้ง ด้วยการส่งลิงขึ้นไปทดลองโคจร ในปี 2501 แต่กลับมาไม่ถึงโลก จากนั้นส่งหนูเมาส์ขึ้นไปอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ประสบความล้มเหลว
“กอร์ดอน” เป็นลิงตัวแรกของโลกที่สหรัฐฯ ส่งให้อยู่ในสภาพไร้น้ำหนักถึง 8.3 นาที จากนั้น สหรัฐฯ ก็ชิงตำแหน่งส่งสิ่งมีชีวิตตัวที่ 2 และ 3 ออกสู่วงโคจร ซึ่งเป็นลิงชื่อ “เอเบิล” และ “เบเกอร์” ในวันที่ 28 พ.ค.2502
สหรัฐฯ ยิ้มออกอีกครั้ง เมื่อนำ “แซม” ลิงวอกมาทดสอบที่นั่งและชุดอุปกรณ์สำหรับความเร่งสูง คุณและคุณนายแซมต่างปลอดภัยระหว่างการทดลองในปี 2502 และ 2503 ทั้งคู่กลายเป็นลิงที่มีชื่อเสียงในโครงการอวกาศ
สลับกลับมาที่ฝ่ายโซเวียตบ้าง ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะประสบความสำเร็จกับ “ไลก้า” แล้วก็ยังคงส่งสุนัขทดลองอีกหลายรอบ โดยเฉพาะไปกับยานต้นแบบ “วอสตอก” ที่เป็นพาหนะพามนุษย์คนแรกออกสู่อวกาศ
นอกจากนี้ ยังส่งหนูและหนูตะเภา พร้อมด้วยหุ่นไม้มนุษย์ จากนั้น “ยูริ กาการิน” ถึงได้เป็นนักบินอวกาศคนแรก บินในวันที่ 12 เม.ย.2504
ต้นปี 2504 สหรัฐฯ ก็ส่ง “แฮม” ขึ้นทำสถิติเป็นชิมแปนซีตัวแรกของโลกบินในลักษณะกึ่งโคจร จากนั้นจึงตัดสินใจส่งอลัน เชฟเฟิร์ด เป็นอเมริกันชนคนแรกบนอวกาศ ตามหลังคนของโซเวียตไม่ถึงเดือน
ระหว่างที่สหรัฐฯ ยังคงส่งชิมแปนซีไปทดลองในรูปแบบต่างๆ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสก็สามารถส่ง “แมว” ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จในวันที่ 18 ต.ค.2506
ถัดมาในปี 2511 สหภาพโซเวียตก็พาอาณาจักรสัตว์ทั้งเต่า แมลง หนอน ต้นไม้ เมล็ดพืช แบคทีเรีย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ขึ้นไปกับยานสำรวจซูนด์ (Zond) บินวนรอบดวงจันทร์ แต่เครื่องยนต์มีปัญหาขณะกลับสู่โลกจึงทำให้ตัวอย่างบางส่วนปนเปื้อน
ส่วนสัตว์อื่นๆ ที่ได้รับตั๋วให้เดินทางสู่อวกาศมีอีกหลายชนิด อาทิ ลิงกระรอก, ปลาคิลลี่ญี่ปุ่น, หอยนางรม, จิ้งหรีด, แมงมุม, กบ, มด และตัวนิวต์
อย่างไรก็ดี เมื่อเทคโนโลยีทางด้านอวกาศของมนุษย์เริ่มพัฒนาไปไกลมากขึ้น การใช้บริการ “สัตว์” บินก่อนลดน้อยลง ทว่ากว่ามนุษยชาติจะได้ก้าวล้ำออกจากพรมแดนแห่งโลกสีน้ำเงิน จนก้าวไกลไปถึงดวงดาวต่างๆ ก็อย่าลืมนึก “ขอบคุณ” หน่วยหน้าที่ตายแทนไปแล้วหลายต่อหลายชีวิต
มนุษย์ที่ออกสู่อวกาศ
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของมนุษย์จะก้าวไกลเป็นอย่างมากและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกๆปี โลกอวกาศก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่าพิศวงอยู่เสมอ โดยเฉลี่ยแล้วนักบินอวกาศใช้ชีวิตอยู่บนสถานีดำเนินงานอวกาศเพียง 6 เดือนต่อปีเท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 27 มีนาคมของปีนี้ ทาง NASA และ Federal Space Agency ของประเทศรัสเซีย ได้ส่งนักบินอวกาศ 3 คนไปประจำอยู่บนสถานีดำเนินงานอวกาศ ซึ่งพวกเขาจะเป็นมนุษย์ไม่กี่คนแรกที่ได้ใช้เวลามากกว่า 6 เดือนบนสถานีนี้ซึ่งลอยอยู่ห่างจากโลกถึง 250 ไมล์
1. ทำให้มนุษย์สูงขี้น
สถิติชี้ว่า นักบินอวกาศจะสูงขึ้น 3% หากอยู่ในอวกาศ ยกตัวอย่างเช่น นักบินอวกาศที่มีความสูง 6 ฟุตจะสูงขึ้นได้อีก 2 นิ้ว เหตุเพราะว่าในสภาวะเกือบไร้น้ำหนักนั้นทำให้หมอนรองกระดูกในกระดูกสันหลังของมนุษย์ขยายตัว ความสูงของนักบินอวกาศจะกลับมาอยู่เท่าเดิมหลังจากได้กลับมาอยู่บนโลกแล้วภายในเวลาไม่นาน
2. กล้ามเนื้อของมนุษย์จะหดตัวและอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
ปกติแล้ว มนุษย์จำเป็นที่จะต้องมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อต้านกับแรงโน้มถ่วงบนโลก แต่หากอาศัยอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักแล้ว กล้ามเนื้อก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป มวลกล้ามเนื้อของนักบินอวกาศนั้นจะลดลงอย่างรวดเร็ว การออกกำลังกายทุกวันในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนสถานีดำเนินงานอวกาศจึงสำคัญมากสำหรับนักบินอวกาศ ซึ่งส่วนโดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาจะออกกำลังกายเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมงโดยใช้เครื่องมือยกน้ำหนักที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ
3. ทำให้ใบหน้าของมนุษย์บวมขึ้น
ร่างกายของมนุษย์นั้นส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยน้ำ เมื่อเวลาเราอยู่บนโลกแรงโน้มถ่วงก็จะดึงส่วนประกอบนี้ให้มาอยู่ที่ช่วงส่วนล่าง แต่ในสภาวะเกือบไร้น้ำหนัก น้ำในร่างกายของมนุษย์จะลอยตัวมาที่ส่วนบนของร่างกายมากขึ้นทำให้ใบหน้าของนักบินอวกาศดูบวมมากกว่าปกติ ในขณะที่ช่วงตัวส่วนล่างเช่นขาอาจจะดูลีบลง หลังจากกลับมาอยู่บนโลก ร่างกายของพวกเขาจะกลับมาเป็นปกติในไม่กี่สัปดาห์
4. มวลกระดูกของมนุษย์จะลดลง
มวลกระดูกของนักบินอวกาศจะลดลงประมาณ 1% ในทุกๆเดือนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศ หากพวกเขาไม่ออกกำลังกาย อาจจะก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนหลังจากที่พวกเขาได้กลับมาใช้ชีวิตบนโลก
5. อาจทำให้เกิดปัญหาสายตา
ผลวิจัยในปี 2013 นั้นได้วัดและตรวจสุขภาพสายตาของนักบินอวกาศ 27 คน ซึ่งใช้ชีวิตเป็นเวลาประมาณ 108 วันบนสถานีดำเนินงานอวกาศ NASA พบว่า นักบินอวกาศหลายๆมีปัญหาทางด้านสายตาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในอวกาศ โดยจากการสแกนเบ้าตาด้วยเครื่อง MRI นักบินอวกาศ 9 คนนั้นมีเส้นประสาทการมองเห็นที่บวมกว่าปกติและนักบินอวกาศ 6 คน มีลูกตาที่มองดูแบนกว่าเดิม ในปัจจุบัน NASA กำลังทำการวิจัยในหัวข้อนี้ต่อไปเพื่อป้องกันอันตรายต่อการมองเห็นของนักบินอวกาศ
6. ทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายของมนุษย์เปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่า การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ร่างกายมนุษย์นั้นไม่คุ้นเคยอย่างในยานอวกาศนั้นทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายของมนุษย์อ่อนแอลง โดยปัจจัยเช่น รังสีอันตราย ความเครียด การได้รับสารอาหารและการออกกำลังกายไม่เพียงพอรวมไปถึงสภาวะเกือบไร้น้ำหนักนั้นทำให้นักบินอวกาศบางคนสามารถเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าเดิม นักบินอวกาศบางคนอาจมีสภาวะภูมิต้านทานในร่างกายทำงานหนักจนเกินไป ทำให้เกิดผดผื่นคันรวมไปถึงภูมิแพ้อีกด้วย
7. ทำให้คุณภาพการนอนหลับแย่ลง
นักบินอวกาศต้องนอนในถุงนอนซึ่งทำมาพิเศษโดยเฉพาะซึ่งมีสายรัดแขนรวมถึงคอ เนื่องจากสภาวะเกือบไร้น้ำหนักนั้นจะดึงให้ร่างกายของพวกเขาลอยอย่างไม่เป็นทิศทาง นอกจากนี้ยังมีสิ่งรบกวนเช่นแสงจากไฟต่างๆรวมไปถึงรังสีซึ่งทำให้การนอนหลับของนักบินอวกาศนั้นไม่มีคุณภาพ ปัจจุบันนักบินอวกาศมีช่องในการนอนส่วนตัวซึ่งทำให้พวกเขาได้หลับสบายมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ดีพอ โดยส่วนใหญ่นักบินอวกาศนั้นได้นอนหลับเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น
8. ทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายยากขึ้น
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในภาวะเกือบไร้น้ำหนักเป็นเวลานาน แน่นอนว่าระบบควบคุมการคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์อาจที่จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้กลับมาคุ้นเคยกับแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง เพราะในสภาวะเกือบไร้น้ำหนักนั้นทิศทางบนและล่างไม่ได้มีความชัดเจน นักบินอวกาศหลายคนเลยทีเดียวที่มีอาการขาสั่นเมื่อต้องกลับมาเดินบนพื้นโลกใหม่ แต่ร่างกายของพวกเขาจะสามารถปรับกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในเวลาไม่กี่เดือน
9. ทำให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์เสื่อมลง
นอกจากใบหน้าของนักบินอวกาศจะบวมขึ้นกว่าปกติในสภาวะเกือบไร้น้ำหนักแล้ว การที่น้ำในร่างกายของนักบินอวกาศได้ขึ้นมาอยู่ที่ร่างกายด้านบนนั้นยังส่งผลเสียต่อประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่นกัน โดยนักบินอวกาศส่วนใหญ่ได้รายงานว่ารสชาติของอาหารต่างๆนั้นจืดเป็นพิเศษในอวกาศและพวกเขาต้องการอาหารรสจัดจ้านเพื่อให้ประสาทสัมผัสได้ลิ้มรส อาหารที่ต้องพึ่งกลิ่นเพื่อให้เกิดรสชาติอย่างเช่นกาแฟนั้นสร้างความผิดหวังเป้นอย่างมากให้กับนักบินอวกาศเพราะประสาทรับกลิ่นของพวกเขาเสื่อมลงนั้นเอง
10. สุขภาพจิตของมนุษย์แย่ลง
เนื่องจากการใช้ชีวิตในอวกาศนั้นเป็นความท้าทายในหลายๆ ด้าน นักบินอวกาศทุกๆคนจะต้องผ่านการตรวดสุขภาพจิตอย่างเคร่งครัดก่อนที่พวกเข้าจะได้รับการฝึกและเตรียมพร้อมทางด้านร่างกายเสียอีก ด้วยปัจจัยในการใช้ชีวิตที่ไม่ได้เอื้อต่อความสะดวกเหมือนอยู่บนโลกในหลายๆ อย่าง อาจทำให้นักบินอวกาศประสบปัญหาทางด้านสุขภาพจิตหลังกลับมาอยู่บนโลกแล้วก็เป็นได้ โดยนักบินอวกาศหลายๆคนได้อธิบายประสบการณ์ของพวกเขาว่า การใช้ชีวิตเป็นเวลานานในอวกาศเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลยที่เดียว
11. มนุษย์อาจไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ
สารอาหารส่วนใหญ่ที่นักบินอวกาศนั้นขาดคือ วิตามิน D เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ เนื่องจากร่างกายของนักบินอวกาศนั้นได้รับความเครียดเป็นอย่างมาก พวกเขายังต้องการวิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆเช่น C และ E อีกด้วย รวมไปถึงธาตุเหล็กซึ่งช่วงส่งเสริมการทำงานของระบบเลือด
12. มนุษย์อาจได้รับอันตรายจากรังสีคอสมิก
นักบินอวกาศนั้นได้รับความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากรังสีคอสมิกซึ่งส่งผลโดยตรงถึงเซลล์ของมนุษย์และก่อให้เกิดมะเร็งและโรคอื่นๆ โดยปกติแล้วรังสีจำพวกนี้จะถูกกรองโดยชั้นบรรยากาศของโลกซึ่งปกป้องมนุษย์จากรังสีที่เป็นอันตรายได้ถึง 99% โดยสถิติจาก European Space Agency นั้นกล่าวว่านักบินอวกาศนั้นได้รับความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากรังสีคอสมิกเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศ
ลักษณะของมนุษย์ที่จะออกไปสู่อวกาศได้คือ ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสติ และรู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
ลักษณะของมนุษย์ที่จะออกไปสู่อวกาศได้คือ ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสติ และรู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้